นอกจากเรื่องตัวผู้เล่นที่ดูขัดหูขัดตา รวมทั้งฟอร์มการเล่นน่าผิดหวังแล้ว ขณะเดียวกันก็ต้องยกเครดิตให้กับฟอร์มของเจ้าบ้านก็ถือว่ายอดเยี่ยมเช่นกัน และที่สำคัญแฟนบอลของพวกเขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้เล่นคนที่ 12 มีความสำคัญกับทีมมากแค่ไหน
ผลการแข่งขันแบบนี้ทำให้สถานการณ์ในการเข้ารอบน็อกเอาต์ของ แชมป์ถ้วยใบโตยุโรป 5 สมัย ยังน่าเป็นห่วงแม้จะยังรั้ง อันดับ 2 ของกลุ่ม แต่สอง แมตช์สุดท้ายที่ต้องเยือน "เปแอสเช" ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และรับมือ "อัซซูร่า" นาโปลี ถือเป็นงานสุดหินของพวกเขาจริงๆ
การเลือก อดัม ลัลลาน่า ลงเล่นตัวจริงทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ฟาบินโญ่ ได้ลงเล่นตัวจริงอย่างต่อเนื่อง แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ดันดร็อปเป็นตัวสำรองซะงั้น แถมในแผงกองกลางดันจับ จิจี้ ไวจ์นัลดุม ยืนต่ำมาก และให้ ลัลลาน่า กับ เจมส์ มิลเนอร์ สวมบทมิดฟิลด์สร้างสรรค์เกม
สำหรับ 45 นาทีแรกทั้งสามคนทำผลงานได้น่าสยดสยองสิ้นดี ไม่สามารถเบียดแย่งบอลนักเตะเร้ดสตาร์ ได้เลย, ขาดการสร้างสรรค์เกม , ผ่านบอลก็ไม่ค่อยได้, จับบอลไม่นิ่ง และหนึ่งในประตูที่เสียก็มาจากความผิดพลาดของ ไวจ์นัลดุม ที่เสียการครองบอลในแดนกลาง แม้ครึ่งหลัง คล็อปป์ จะให้ ลัลลาน่า ทำหน้าที่เป็นเพลย์เมกเกอร์ แต่ก็ไม่ดีพอที่จะกดดันคู่แข่ง และทำประตู
บางคนอาจมองในแง่บวกคิดว่า คล็อปป์ ต้องการพักผู้เล่นตัวหลักเพื่อจะได้ฟิตเต็มสูบในการลงเล่นเกมลีกนัดต่อไป ซึ่งพวกเขาจะดวลกับ "เจ้าสัวน้อย" ฟูแล่ม ทีมบ๊วยในลีก สุดสัปดาห์นี้ นั่นเป็นเหตุผลมากพอที่จะทำให้ กุนซือชาวเยอรมัน ต้องจัดตัวแบบนี้หรือไม่ !!?
2. ลัลลาน่า พึ่งพาในยามคับขันไม่ได้
จากปัญหาเรื่องการเมืองทำให้ เซอร์ดาน ชากีรี ซึ่งมีเชื้อสายโคซาโว ต้องโดน คล็อปป์ ตัดสินใจดร็อปในแมตช์นี้เพื่อตัดปัญหาดราม่าที่จะตามมา และนั่นทำให้เขาจำเป็นต้องเลือกนักเตะคนอื่นลงสนาม และดันเลือก ลัลลาน่า ทำหน้าที่ 11 ตัวจริงในแมตช์นี้
ต้องยอมรับว่า ชากีรี่ กำลังอยู่ในฟอร์มร้อนแรงจริงๆ และน่าเสียดายที่ไม่มีเขาลงสนามช่วยทีมในแมตช์นี้ เพราะหาก ดาวเตะทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ได้ลงเล่น แน่นอนว่าเกมบุกของ "เดอะ เร้ดส์" จะมีมิติยิ่งขึ้น เพราะนักเตะสามารถสร้างสรรค์เกม, การลากบอลทะลุทลวงแนวรับคู่แข่ง รวมไปถึงการเล่นลูกตั้งเตะที่น่าจะสร้างปัญหาให้กับ เร้ด สตาร์ เบลเกรด ไม่มากก็น้อย
ขณะที่ ลัลลาน่า ต้องบอกกันตามตรงว่าตอนนี้ไม่เหลือความเป็นนักเตะชั้นยอดแล้วทั้งไม่มีความเร็ว และไหวพริบในการประสานงานกับ ซาดิโอ มาเน่ กับ โม ซาลาห์ นอกจากนี้สภาพร่างกายก็ไม่แกร่ง ฉะนั้นหากมองดูแผงมิดฟิลด์ของทีมที่มีทั้ง มิลเนอร์, ไวจ์นัลดุม, เฮนเดอร์สัน, เกอิต้า, ฟาบินโญ่ รวมทั้ง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลค-เชมเบอร์เลน ที่ใกล้หายเจ็บแล้ว งานนี้ "ลั้ลลา" ได้นั่งข้างสนามยาวชัวร์
3. แก้เกมไม่ได้ผล
หลังจบครึ่งแรก แน่นอนว่า คล็อปป์ ไม่ปลื้มกับผลงานของลูกทีม โดยมีนักเตะหลายคนที่ฟอร์มแย่มากๆ นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ กุนซือเลือดด๊อยท์ช ต้องรีบแก้เกมด้วยการส่ง โจ โกเมซ ลงมาแทน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ - อาร์โนลด์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ แทน แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง
แน่นอนว่าการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทำให้ "หงส์แดง" ดูดีขึ้นผิดหูผิดตา และมีโอกาสครองเกมมากขึ้น แถมยังได้บอลลำเลียงขึ้นไปลุ้นประตูอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้นเกมรุกของทีมก็ไม่ได้ทำให้แนวรับของเจ้าบ้านต้องทำงานหนักอะไรมากนัก และยังคงรักษาความได้เปรียบต่อไป
อย่างที่บอกแม้ ลิเวอร์พูล จะครองเกมได้มากขึ้น แต่ขาดไหวพริบ และคุณภาพในการเล่น นี่เป็นจุดสำคัญที่บ่งชี้ให้เห็นความผิดพลาดของ คล็อปป์ ในการเลือกผู้เล่นตัวจริงตั้งแต่ต้นเกม และไม่สามารถแก้ปัญหาจุดนี้ได้ แถมยังกล้าส่ง ดิว็อค โอริกี้ ลงสนามเป็นเกมแรกของซีซั่นอีกต่างหาก !!??!!
4. เกมรุกเฉียบคมหายไปไหน ?
ลิเวอร์พูล ได้ชื่อว่าเป็นทีมที่มีเกมรุกดุดัน และยิงประตูเป็นว่าเล่นไม่ว่าจะเจอคู่แข่งแบบไหนก็ตาม แต่สำหรับเกมนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร เพราะ "หงส์แดง" ไม่สามารถไล่กดดัน เร้ดสตาร์ เบลเกรด ได้เลย
จุดเปลี่ยนสำคัญอาจจะเป็นจังหวะที่ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ได้ยิงโล่งๆ ไม่กี่หลาแต่ข้ามคานหน้าตาเฉย รวมไปถึงจังหวะของ ซาดิโอ มาเน่ ที่พลาดอย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน แน่นอนว่าตลอด 90 นาที ลิเวอร์พูล สร้างโอกาสได้หลายครั้งแต่กองหน้าไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสเหล่านั้นเป็นประตูได้เลย
ขณะที่ โม ซาลาห์ ก็มีโอกาสยิงประตูแต่บอลชนเสาออกไปบ้าง ซัดติดผู้รักษาประตูบ้าง นอกจากนี้ โจเอล มาติป ก็มีโอกาสขึ้นไปโหม่งทำประตู แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้ ขนาดในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ทีมหันมาเล่นบอลโยนยาวโดยมีเป้าหมายที่ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ แต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายแล้วพวกเขาต้องกับแอนฟิลด์ โดยที่ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับมาด้วยเลย
5. เร้ดสตาร์แกร่ง-แฟนบอลผู้เล่นคนที่ 12
หากได้ชมเกมนี้ตั้งแต่ตอนที่นักเตะลิเวอร์พูลลงสนามเพื่ออบอุ่นร่างกายจนกระทั่งกลับเข้าห้องแต่งตัว เสียงกองเชียร์ เร้ดสตาร์ เบลเกรด ดังสนั่นไม่มีหยุด เชื่อได้เลยว่าสิ่งนี้ทำให้นักเตะบางคนของทีมเยือนมีอาการอกสั่นขวัญหายไม่มากก็น้อย
เสียงตะโกน, เสียงร้องเพลง รวมไปถึงเสียงโห่จากแฟนบอลเจ้าบ้านหลายหมื่นคน เป็นแรงกระตุ้นชั้นดีให้กับนักเตะเร้ดสตาร์ เบลเกรด โดยเฉพาะในครึ่งแรกที่พวกเขาวิ่งสู้ฟัดจน ลิเวอร์พูล เล่นเกมของตัวเองไม่ได้เลย และนำไปสู่การเสีย 2 ประตูให้กับเจ้าบ้าน ซึ่งต้องชมความยอดเยี่ยมของ มิลาน พาฟคอฟ ที่เหมา 2 ตุงทำให้เขากลายเป็นนักเตะเซอร์เบียคนแรกที่ยิงสองลูกในแชมเปี้ยนส์ ลีก นับตั้งแต่ที่ อเล็กซานดาร์ พริโยวิช ของ ลิเกีย วอร์ซอว์ ทำได้ในเดือนพ.ย. 2016
ขณะที่ในครึ่งหลังแม้ ลิเวอร์พูล จะได้ครองเกมมากกว่า แต่มองจากเหตุและผลเป็นเพราะเจ้าบ้านไม่จำเป็นต้องเปิดเกมบุกใส่เนื่องจากสกอร์ได้เปรียบ โดยเน้นการเล่นเกมรับให้รัดกุมตามแผนที่วางเอาไว้ และปล่อยให้ "เดอะ เร้ดส์" เปิดเกมบุกเข้ามา เพื่อรอจังหวะสวนกลับ เท่านี้ก็พอแล้ว
โพสต์โดย : pao เมื่อ 7 พ.ย. 2561 18:02:59 น. อ่าน 633 ตอบ 0