ผลงานดังกล่าวทำให้หลายคนยกให้ทีมของกุนซือ โจเซป กวาร์ดิโอล่า เป็นเต็งหนึ่งที่จะได้แชมป์ลีกในซีซั่น 2018-19 ไปครองตั้งแต่ยังไม่เปิดม่านซะด้วยซ้ำ ซึ่งที่จริงตอนแรก แมนฯ ซิตี้ ก็โชว์ฟอร์มได้สมราคาการเป็นเต็งหนึ่ง และทำให้หลายคนเชื่อว่าพวกเขามีโอกาสดีที่จะเป็นทีมแรกที่สามารถป้องกันแชมป์ลีกได้ นับตั้งแต่ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยทำสำเร็จในซีซั่น 2008-09
อย่างไรก็ตาม ในเดือนสุดท้ายของปี 2018 แมนฯ ซิตี้ เป็นเหมือนเรือที่แล่นแบบไร้ทิศทาง จนถึงตอนนี้พวกเขาแพ้ในลีกถึง 3 เกมจากทั้งหมด 6 นัดในเดือนนี้ แถมล่าสุดยังเป็นการปราชัย 2 นัดติดต่อกันด้วย จนทำให้ตอนนี้แชมป์เก่าต้องอยู่อันดับ 3 ของตารางคะแนน ด้วยผลงาน 44 คะแนน จากการลงเล่น 19 นัด ตามหลัง ลิเวอร์พูล ที่เป็นจ่าฝูงถึง 7 แต้มด้วยกัน
- ความเร็วในการเล่นที่ลดลง
การขึ้นเกมบุกอย่างรวดเร็วคือเอกลักษณ์ของทีมที่ กวาร์ดิโอล่า กุมบังเหียนให้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะทั้งตอนอยู่กับ บาร์เซโลน่า และ บาเยิร์น มิวนิค เกมรุกของ กวาร์ดิโอล่า ก็ว่องไวเหมือนเสือชีตาร์ที่วิ่งเข้าหาเหยื่อ ซึ่งฤดูกาลก่อน แมนฯ ซิตี้ ของเขาก็ทำแบบนั้นได้เหมือนกัน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ทีมของ กวาร์ดิโอล่า ยิงใน พรีเมียร์ลีก ได้ถึง 106 ประตู และเก็บได้ 100 คะแนน
อย่างไรก็ตาม ความเร็วระดับนั้นกลับลดลงไปแบบน่าใจหายในซีซั่นนี้ แม้ว่า แมนฯ ซิตี้ จะทำประตูในลีกได้ถึง 51 ลูก จากการลงเล่น 19 นัด แต่เกมรุกกับการผ่านบอลของพวกเขากลับไม่เร็วและดุดันเหมือนเก่า ยกตัวอย่างเช่นเกมที่แพ้ เชลซี 0-2 ทีมของ กวาร์ดิโอล่า ได้ครองบอลเยอะมาก แต่แทบไม่ได้สร้างความอันตรายให้ "สิงโตน้ำเงินคราม" มากเท่าไหร่เลย
- เกมรับที่ไม่แกร่งเหมือนเก่า
ตอนที่จบโปรแกรมนัดที่ 14 ในลีก (ชนะ บอร์นมัธ 3-1) แมนฯ ซิตี้ ยังเป็นทีมที่มีเกมรับดีที่สุดในลีก จากการที่เสียประตูน้อยที่สุด เท่ากับ ลิเวอร์พูล อยู่เลย โดยตอนนั้นพวกเขาเสียไปเพียง 6 ลูกเท่านั้น แถมในจำนวนดังกล่าวยังมาจากลูกจุดโทษ 2 ลูกด้วย ซึ่งทุกคนก็รู้ดีว่าพอเสียลูกจุดโทษแล้วนั้น มันก็มีโอกาสที่จะเสียประตูสูงมากๆ ดังนั้นการเสียประตูจากลูกจุดโทษจึงไม่ใช่สิ่งที่น่าตำหนิอะไรเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเป็นต้นมาเกมรับที่เคยเหนียวแน่นเหมือนเป็นกำแพงเหล็กของ แมนฯ ซิตี้ กลับเปื่อยยุ่ยเหมือนเป็นเพียงประตูกระดาษหน้าบ้าน พวกเขาเสียไปถึง 9 ลูกจาก 5 เกมหลังสุดในลีก และถ้านับรวมเกมนัดที่ 14 ในลีกด้วยแล้วล่ะก็ มันก็จะเท่ากับว่าตอนนี้ "เรือใบสีฟ้า" เก็บคลีนชีทในลีกไม่ได้มา 6 นัดติดต่อกันเข้าไปแล้ว
ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขาเสียประตูเยอะเป็นเพราะเซนเตอร์แบ็กหลายคนทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะ จอห์น สโตนส์ ที่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงถึง 4 เกมจาก 6 นัดหลังสุดในลีก แต่กลับไม่สามารถช่วยทีมได้ดีเหมือนแต่ก่อน ขณะที่ นิโกลัส โอตาเมนดี้ ก็ฟอร์มไม่โดดเด่นเหมือนฤดูกาลที่แล้ว แต่ส่วนหนึ่งมันก็เป็นเพราะเจ้าตัวโดนดร็อปไปช่วงหนึ่งด้วย
จริงอยู่ว่า อายเมอริก ลาป๊อร์กต์ เป็นเซนเตอร์แบ็กที่พอฝากผีฝากไข้ได้ แต่ถ้าคู่หูของเขาทำผลงานได้แย่ ลาป๊อร์กต์ ก็ไม่สามารถช่วยทีมได้มากนัก โดยที่จริงที่ผ่านมา กวาร์ดิโอล่า ก็ลองเปลี่ยนคู่หูของ ลาป๊อร์กต์ อยู่เรื่อยๆ แต่ก็ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้สักที
- หลุมดำตรงแบ็กซ้าย
ในช่วงซัมเมอร์ ปีก่อน กวาร์ดิโอล่า ยอมควักเงินออกมาจากตู้เซฟของสโมสรถึง 52 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,340 ล้านบาท) เพื่อไปสู่ขอ แบ็งฌาแม็ง เมนดี้ แบ็กซ้ายชาวฝรั่งเศสมาจาก อาแอส โมนาโก เพื่อที่จะให้ เมนดี้ เป็นแบ็กซ้ายตัวหลักของทีม และเขายังปล่อยทั้ง อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ กับ กาแอล กลิชี่ ออกไปด้วย เพราะมั่นใจว่า เมนดี้ พอที่จะเป็นกำลังหลักของทีมในจุดนี้ได้แบบยาวๆ
น่าเศร้าที่ความฝันของ กวาร์ดิโอล่า มันไม่เกิดขึ้นในความเป็นจริง เมนดี้ โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างต่อเนื่อง โดยจนถึงตอนนี้เขาเพิ่งได้ลงเล่นให้ทีมในเกมลีกไปแค่ 16 นัดเท่านั้น ทั้งที่เจ้าตัวอยู่กับทีมมา 1 ปีครึ่งแล้ว
จริงอยู่ว่าที่ผ่านมา กวาร์ดิโอล่า ลองให้ ฟาเบียน เดลฟ์ กับ โอเล็คซานเดอร์ ซินเชนโก้ ได้ลงเล่นในตำแหน่งแบ็กซ้าย เพื่อทดแทนการหายไปของ เมนดี้ บ้าง แต่ทั้งคู่ก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะกับบทบาทนี้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ พวกเขาไม่มีความสามารถที่ดีพอในการเล่นเกมรับ แถมยังวิ่งได้ไม่เร็วเท่าไหร่ด้วย
- เอแดร์ซอน ไม่ใช่คนดีคนเดิม
หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ฤดูกาลก่อน แมนฯ ซิตี้ ประสบความสำเร็จอย่างมากนั้น เป็นเพราะผลงานของ เอแดร์ซอน โดยถึงแม้จะเพิ่งย้ายมาร่วมทีมด้วยค่าตัวที่เชื่อกันว่า 35 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,575 ล้านบาท) เมื่อช่วงซัมเมอร์ ปี 2017 แต่นายทวารชาวบราซิเลียนก็เล่นได้อย่างโดดเด่นตั้งแต่ซีซั่นแรกกับทีม
ซีซั่นที่แล้ว เอแดร์ซอน แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมทั้งด้านการผ่านบอล, ความคล่องแคล่ว, ความกล้าหาญในการเล่น, ความเร็วในการวิ่งออกมาจากเส้น ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้กลับจางหายไปในระดับหนึ่งในฤดูกาล 2018-19
หนึ่งในด้านที่เขาทำได้แย่ลงชัดเจนที่สุดคือการวิ่งออกมาตัดบอล เพราะฤดูกาลนี้เขาเสียลูกจุดโทษไปแล้ว 2 ลูก ซึ่งการทำให้ทีมเสียประตูง่ายๆ แบบนี้คือหนึ่งในปัญหาที่ทำให้ กวาร์ดิโอล่า ต้องกลุ้มจนหัวแทบจะเต็มไปด้วยผมหงอกในตอนนี้
บางคนอาจจะบอกว่าให้ดร็อป เอแดร์ซอน แล้วไปใช้คนอื่นบ้าง แต่สถานการณ์มันไม่เอื้อให้ กวาร์ดิโอล่า ทำอย่างนั้นได้ โดยมือ 2 อย่าง เคลาดิโอ บราโว่ มีอาการเอ็นร้อยหวายฉีกจนต้องพักนาน และที่จริงต่อให้เขาจะพร้อมช่วยทีม แต่ฝีมือของเจ้าตัวก็ไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่อยู่แล้ว ขณะที่มือ 3 ของ แมนฯ ซิตี้ ในตอนนี้ ก็คือ อารียาเน็ต มูริช นายด่านที่เพิ่งมีอายุแค่ 20 ปีเท่านั้น ซึ่งการจะส่งเขาลงเล่นในช่วงนี้ก็ดูเป็นทางเลือกที่เสี่ยงพอตัว
- ขาด แฟร์นันดินโญ่ เหมือนขาดใจ
แมนฯ ซิตี้ ชุดนี้มีนักเตะชื่อดังที่มักจะเป็นไฮไลท์ให้คนพูดถึงบ่อยๆ หลายคน อย่างเช่น เซร์คิโอ อเกวโร่ ดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์, ราฮีม สเตอร์ลิง ปีกตัวจี๊ด และ เควิน เดอ บรอยน์ เป็นต้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในฟันเฟืองเบื้องหลังที่ทำให้ทีมทำผลงานได้โดดเด่นคือ แฟร์นันดินโญ่
ฤดูกาลที่แล้วดาวเตะชาวบราซิเลียนทำผลงานในตำแหน่งกองกลางตัวรับได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาคอยปกป้องแนวรับได้เป็นอย่างดี, เข้าสกัดในจังหวะสุดท้ายได้แม่นยำเหมือนใช้โปรแกรมล็อกเป้าเอาไว้, ช่วยเริ่มเกมบุกได้ และยังทำให้บรรดาแนวรุกของทีมเล่นได้ตามสบายด้วย
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่มีอายุ 33 ปีเข้าไปแล้ว ทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ แฟร์นันดินโญ่ จะมีสภาพร่างกายไม่แข็งแกร่งเหมือนเก่า เขาไม่ได้ลงเล่นให้ทีมใน 2 เกมหลังสุดเพราะมีปัญหาตรงต้นขา และผลลัพธ์ที่ แมนฯ ซิตี้ ต้องเจอจากเรื่องนั้นก็เป็นระดับที่ร้ายแรงที่สุด เพราะพวกเขาแพ้ทั้ง คริสตัล พาเลซ 2-3 และปราชัยต่อ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-2
ที่จริง กวาร์ดิโอล่า มองเห็นถึงปัญหานี้ และพยายามจะดึงมิดฟิลด์มาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาเหมือนกัน โดยเป้าหมายหลักของเขาคือ เฟร็ด กับ จอร์จินโญ่ แต่สุดท้ายก็แห้วทั้งหมด และตอนนี้กุนซือสมองเพชรก็ต้องมานั่งหาทางออกให้ได้ว่าจะแก้สถานการณ์กับการไร้ แฟร์นันดินโญ่ ยังไงดี
- เชซุส ไม่ใช่ จีซัส อีกแล้ว
แมนฯ ซิตี้ ยอมเสียเงินถึง 27 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,215 ล้านบาท) ในการดึง เชซุส มาจาก พัลเมยรัส โดยพวกเขาหวังว่าหัวหอกชาวบราซิเลียนจะเข้ามาแบ่งเบาภาระการทำประตูของ เซร์คิโอ อเกวโร่ ดาวยิงตัวเก่งได้บ้าง
ที่จริงตอนแรกมันก็ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า หลังจากที่ในครึ่งฤดูกาลหลังของซีซั่น 2016-17 เชซุส ยิงในลีกได้ถึง 7 ลูก จากการลงเล่น 10 นัด และพอฤดูกาลก่อน เขาก็ทำประตูในลีกไปอีก 13 ประตู จากการลงเล่น 29 เกม อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าฤดูกาลนี้มันเกิดอะไรขึ้น เชซุส ถึงเพิ่งยิงในลีกได้แค่ 3 ลูกเท่านั้น
จริงอยู่ว่า อเกวโร่ เป็นหนึ่งในกองหน้าที่เก่งที่สุดของ พรีเมียร์ลีก แต่มันก็ต้องมีบางนัดที่เขาฟอร์มตก หรือโดนประกบติดจนเล่นไม่ออกบ้าง ดังนั้นมันจึงต้องมีตัวเลือกที่สามารถช่วยเหลือ หรือ ทดแทนเขาได้ น่าเศร้าที่ในฤดูกาลนี้ เชซุส ทำได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในด้านนี้
เว็บเดิมพันออนไลน์ ที่ดีที่สุด http://www.casahot98.com/
Line ID : CASAHOT
โพสต์โดย : ntty2002 เมื่อ 27 ธ.ค. 2561 19:00:11 น. อ่าน 529 ตอบ 0