2005 รอบสอง: เมื่อ “คีเวลล์” ต้องดวล “เครสโป”
ในรอบชิงชนะเลิศ “ชปล.” อีกครั้ง
แฮร์รี คีเวลล์ และแอร์นัน เครสโป ไม่ใช่คนแปลกหน้ากัน
พวกเขาทั้งสองเคยดวลกันมาก่อนในฐานะผู้เล่นทั้งหมด 3 ครั้ง
แต่ครั้งที่น่าจะมีคนจดจำได้มากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นรอบชิงชนะเลิศของศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2005
ระหว่างลิเวอร์พูล กับ เอซี มิลาน ซึ่งก็เป็นนัดที่เกิด “ปาฏิหารย์แห่งอิสตันบูล” ขึ้น ตอนนี้
ผ่านมาเกือบสองทศวรรษ พวกเขาทั้งสองก็ได้โคจรมาเจอกันอีกครั้ง เพียงแต่ว่าในคราวนี้
พวกเขาไม่ได้สวมสตั๊ดลงแข่งขันกัน แต่จะมาสวมสูท ประลองมันสมอง
วัดเก๋าและกึ๋นกันในฐานะผู้จัดการทีม ในศึกเอเอฟซีแชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2024 ระหว่างโยโกฮาม่า เอฟ
มารินอส และ อัล อาอิน ใครจะเป็นผู้คว้าชัยไปนั้น? ต้องรอดู!
2005 รอบแรก: ปาฏิหารย์แห่งอิสตันบูล
ในยุคนั้น ลิเวอร์พูลถือว่าไม่ได้มีฟอร์มลุ้นแชมป์พอฟัดพอเหวี่ยงทีมอื่น ๆ ในพรีเมียร์ลีก
ไม่ว่าจะเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, หรือเชลซี
แต่พวกเขามักจะทำผลงานได้ดีในเวทียุโรปอยู่เสมอ ยังไงเสีย ในปี 2005
การที่ลิเวอร์พูลสามารถผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศของรายการฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดของทวีป
ถือเป็นเรื่องน่าตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะพวกเขาจบฤดูกาลพรีเมียร์ลีกในอันดับ 5
ตามหลังเพื่อนร่วมเมืองอย่างเอฟเวอร์ตันด้วยซ้ำ
โอกาสในการคว้าแชมป์ของพวกเขายิ่งริบหรี่ลงไปอีก เมื่อต้องมาดวลกับเอซีมิลาน
ที่มีคู่แนวรุกระดับบัลลงดอร์ทั้งริคาร์โด้ กาก้า และอันเดรีย เชฟเชนโก้ แถมยังมีเปาโล มัลดินี่, ดีด้า,
และเจนนาโร่ กัตตูโซ่อีกด้วย เมื่อเทียบกับทีมชุดที่คว้าแชมป์ไปเมื่อปี 2003 หรือสองปีก่อนหน้านั้น
มีนักเตะลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศรอบนี้ถึง 10 จาก 11 ตัวจริงเลยทีเดียว
เกมการแข่งขัน
นัดชิงชนะเลิศในปี 2005 เตะกันที่สนามอตาเติร์ก โอลิมปิก กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี
และเป็นเอซี มิลานที่สามารถขึ้นนำได้อย่างรวดเร็วภายในนาทีแรก
ด้วยลูกโหม่งของกัปตันทีมอย่างมัลดินี่ ก่อนที่คีเวลล์จะมาโดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน
และต้องถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่ยังไม่ผ่านครึ่งชั่วโมงแรก กลับกัน เป็นเครสโปที่ช่วยยิงเบิ้ล
พามิลานนำห่างถึง 3-0 ก่อนจบครึ่งแรก
แต่ครึ่งหลัง ด้วยเสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่มสนามของแฟน ๆ เดอะค็อป
ลิเวอร์พูลสามารถสร้างปาฏิหารย์กลับมาพลิกตีเสมอได้ถึง 3-3 ด้วยประตูจากสตีเวน เจอร์ราร์ด, วลาดิมีร์
สมิเซอร์ ก่อนจะเป็นชาบี อลอนโซ่ ซ้ำจุดโทษตีเสมอ จนทำให้เกมต้องดำเนินต่อไปในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ก่อนที่ช่วงท้าย เจอร์ซีย์ ดูเด็คจะโชว์เซฟระดับตำนานเพื่อป้องกันประตูจากลูกยิงของเชฟเชนโก้
พาเกมเข้าสู่การดวลจุดโทษ แล้วก็เป็นเชฟเชนโก้นี่เองที่พลาดจุดโทษสำคัญ
ส่งถ้วยแชมป์ให้กับลิเวอร์พูลเป็นสมัยที่ 5
2024 รอบสอง: ปาฏิหารย์แห่งโยโกฮาม่า?
หลังจากที่เลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ
ทั้งคีเวลล์และเครสโปต่างก็เดินเส้นทางเป็นผู้จัดการทีมไปทั่วโลก คีเวลล์ได้รับงานคุมทีมโยโกฮาม่า เอฟ
มารีนอส อดีตต้นสังกัดของ “เจ้าอุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน ในขณะที่เครสโป ได้กุมบังเหียนอัล อาอิน
ทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาลของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ซึ่งการดวลกันของทั้งสองทีมนี้ก็นำมาซึ่งความคาดหวังที่แตกต่างกันอย่างมาก เนื่องจากอัล อาอิน
ของเครสโปนั้น เคยคว้าแชมป์เอเอฟซีแชมเปี้ยนส์ลีก
ซึ่งถือเป็นถ้วยรางวัลใหญ่ของทวีปเอเชียมาเเล้วเมื่อปี 2003
และยังได้ตำแหน่งรองแชมป์มาอีกสองสมัยในปี 2005 และ 2016 กลับกัน โยโกฮาม่า เอฟ มารีนอส
กำลังจะได้เข้าชิงชนะเลิศถ้วยรางวัลนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
แถมจะเป็นการได้ลงเล่นในสนามนิสสัน ต่อหน้าแฟนบอลเดนตายของตัวเองอีกด้วย
แต่จะเป็นเครสโปที่พาอัล อาอิน กลับมาครองยุโรปอีกครั้งได้สำเร็จ
หรือคีเวลล์ที่จะสร้างความสุขให้แก่ชาวเมืองโยโกฮาม่า?
เส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศของโยโกฮาม่า เอฟ มารีนอส
โยโกฮาม่า เอฟ มารีนอส ได้รับการจัดกลุ่มอยู่ในกลุ่ม จี ร่วมกับฉานตง ไทชาน (จีน) อินชอน
ยูไนเต็ด (เกาหลีใต้) และคายา-อิโลยโล (ฟิลิปปินส์) พวกเขาสามารถเก็บชัยชนะไปได้ 4 เกม แพ้อีก 2
ถือเป็นสถิติที่เท่ากับอีก 2 ทีมอย่างฉานตงและอินชอน
แต่ผ่านเข้ารอบน็อคเอาต์ในฐานะแชมป์กลุ่มไปได้ด้วยผลประตูได้เสีย
สำหรับรอบ 16 ทีมสุดท้าย พวกเขาจับฉลากเจอกับแบงค็อก ยูไนเต็ด (ไทย)
และสามารถเฉือนเอาชนะไปได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษของเกมนัดที่สองด้วยสกอร์รวม 3-2
ก่อนที่จะโคจรมาเจอฉานตงอีกครั้งในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
แต่ก็ยังเป็นโยโกฮาม่าที่สามารถคว้าชัยชนะไปได้ 3-1 ในรอบรองชนะเลิศ
พวกเขาคัมแบ็คกลับมาตีเสมออุลซาน เอชดี (เกาหลีใต้) 3-3 ได้ที่บ้าน ก่อนจะดวลจุดโทษชนะไป 5-4
เข้าชิงชนะเลิศเอเอฟซีแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งแรก
เส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศของอัล อาอิน
อัล อาอิน ได้รับการจัดกลุ่มอยู่ในกลุ่ม เอ ร่วมกับอัล-เฟย์ฮา (ซาอุดิอาระเบีย) ปักตากอร์
(อุซเบกิสถาน) และอาฮัล (เติร์กเมนิสถาน) พวกเขาสามารถเก็บชัยชนะไปได้ 5 เกม แพ้อีก 1
ถือผ่านเข้ารอบน็อคเอาต์ในฐานะแชมป์กลุ่มไปได้อย่างขาดลอยด้วย 15 คะแนนจาก 6 เกม
สำหรับรอบ 16 ทีมสุดท้าย พวกเขาจับฉลากเจอกับนาซาฟ (อุซเบกิสถาน)
และเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์รวม 2-1 ก่อนที่จะโคจรมาเจออัล นาสเซอร์ (ซาอุดิอาระเบีย) ของคริสเตียโน่
โรนัลโด้ และก็สามารถเอาชนะไปได้อย่างสุดมันส์ด้วยสกอร์ 3-1 จากการดวลจุดโทษ หลังเสมอกัน 4-4
ในช่วงปกติ ในรอบรองชนะเลิศ พวกเขาเอาชนะแชมป์ซาอุดิอาระเบียอย่างอัล ฮิลัล ไปได้ 5-4
ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศเอเอฟซีแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นสมัยที่สาม
และมีโอกาสลุ้นแชมป์เอเอฟซีแชมเปี้ยนส์ลีกสมัยที่สอง